PCOS ตรวจอย่างไร ?
PCOS ตรวจอย่างไร ? ภาวะ PCOS หรือ Polycystic Ovary Syndrome เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในสตรีวัยเจริญพันธุ์ PCOS เกิดจากการทำงานของต่อมไร้ท่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ PCOS และวิธีการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
PCOS หรือ Polycystic Ovary Syndrome เป็นภาวะที่เกิดจากการทำงานของต่อมไร้ท่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) จะมีปริมาณสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น การมีรอบเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ ปัญหาการตั้งครรภ์ ปัญหาผิวหนัง และการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัย PCOS
การตรวจวินิจฉัย PCOS มีขั้นตอนดังนี้:
1. การซักประวัติ
-แพทย์จะซักถามถึงประวัติการมีรอบเดือน ปัญหาผิวหนัง ปัญหาการตั้งครรภ์ และอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็น PCOS หรือไม่
2. การตรวจร่างกาย
-แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อประเมินลักษณะทางกายภาพที่สัมพันธ์กับ PCOS เช่น การตรวจวัดดัชนีมวลกาย การตรวจหาการเพิ่มขึ้นของขน การตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เป็นต้น
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
– การตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด เช่น ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) ฮอร์โมนกระตุ้นการทำงานของรังไข่ (FSH และ LH) – การตรวจอัลตราซาวนด์รังไข่ เพื่อประเมินลักษณะของรังไข่ว่ามีลักษณะเป็น Polycystic หรือไม่
1.การรักษาแบบไม่ใช้ยา
- ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกิน และภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมกัน การควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนให้ดีขึ้นได้
- กระตุ้นการตกไข่ด้วยวิธีต่างๆ สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร
- การป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน อาจมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ สำหรับผู้ที่พบการหนาตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกอาจสัมพันธ์กับมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ การเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญ
2.การรักษาแบบใช้ยา
เนื่องจากภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบมีความความเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ การได้รับยาฮอร์โมนที่เหมาะสม ร่วมกับการรักษาสาเหตุอื่นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ จะช่วยให้อาการของภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบดีขึ้นได้
- ระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ รักษาโดยการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เดี่ยว หรือฮอร์โมนรวมเอสโตรเจนและโปรเจสติน (Estrogen – Progestin) ซึ่งมีประโยชน์ในการคุมกำเนิดและต้านฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชาย
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในรายที่มีภาวะนี้ร่วมด้วย แพทย์อาจใช้ยา Metformin เพื่อลดการสร้างกลูโคสจากตับและเพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน ส่งผลให้ระดับอินซูลินลดลง
- ภาวะไข่ไม่ตก สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร ยาที่เลือกใช้เพื่อกระตุ้นการตกไข่เป็นอันดับแรกคือ Clomiphene ซึ่งอาจใช้ร่วมกับยา Metformin ได้
คำถามที่พบบ่อย
1. ถ้าตรวจแล้วพบว่ามี PCOS ต้องทำอย่างไร?
หากตรวจพบว่ามี PCOS แพทย์จะแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละรายไป ซึ่งอาจเป็นการใช้ยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ การรักษาที่ถูกต้องจะช่วยควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
2. PCOS สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
PCOS เป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ และการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ
3. การตรวจ PCOS มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
การตรวจ PCOS โดยการตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์รังไข่ เป็นการตรวจที่ปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงหรืออันตรายใดๆ ต่อร่างกาย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
สรุป
การตรวจวินิจฉัย PCOS เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีขั้นตอนการตรวจดังนี้ การซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด และการตรวจอัลตราซาวนด์รังไข่ การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งอาจใช้การรักษาด้วยยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการผ่าตัด ดังนั้นการวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ช่องทางในการติดต่อเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ทาง